Knowledge Management

การจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM)

หมายถึง การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคล หรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กร สามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถเชิงแข่งขันสูงสุด

การจัดการความรู้ คือเครื่องมือเพื่อการบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 4 ประการไปพร้อม ๆ กัน ได้แก่ (1) การบรรลุเป้าหมายของงาน (2) การบรรลุเป้าหมายด้านการพัฒนาคน (3) การบรรลุเป้าหมายด้านการพัฒนาองค์กรไปเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (4) การบรรลุเป้หมายของการเป็นชุมชน หมู่คณะ ที่มีความเอื้ออาทรระหว่างกันในที่ทำงาน — นพ.วิจารย์ พาณิช

ประเภทขององค์ความรู้

  1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (tacit knowledge)
  2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง (explicit knowledge)

ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (tacit knowledge)

เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์ หรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์ บางครั้ง จึงถูกเรียกว่าเป็นความรู้แบบนามธรรม

ความรู้ที่ชัดแจ้ง (explicit knowledge)

เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่าง ๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี คู่มือต่าง ๆ และบางครั้งถูกเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม

ขั้นตอน 6 ประการที่ควรดำเนินการ

  1. กำหนดความรู้หลักที่จำเป็นหรือสำคัญต่องานและองค์กร
  2. เสาะหาความรู้ที่ต้องการ
  3. ปรับปรุง ดัดแปลง หรือสร้างความรู้ให้เหมาะต่อการใช้งานของตน
  4. ประยุกต์ใช้ความรู้กับงานของตน
  5. นำประสบการณ์จากการทำงานและการประยุกต์ใช้ความรู้แล้วมาแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และสกัด “ขุมความรู้” ออกมาบันทึกไว้
  6. จดบันทึก “ขุมความรู้” และ “แก่นความรู้” สำหรับไว้ใช้งานและปรับปรุงเป็นชุดความรู้ที่ครบถ้วน ลุ่มลึก และเชื่อมโยง ให้เหมาะกับการใช้งานมากขึ้น

วิธีการจัดการความรู้

เมื่อพิจารณาจากข้อกำหนดต่าง ๆ (multiple requirement) ตามเกณฑ์ EdPEx พบว่ามีประเด็นพิจารณาต่อไปนี้

  • การรวบรวมและถ่ายทอดความรู้ของบุคลากร
  • การผสมผสานและหาความสัมพันธ์ของข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่
  • การถ่ายทอดความรู้ที่เป็นประโยชน์ ระหว่างหน่วยงานกับผู้เรียน ลูกค้ากลุ่มอื่น ผู้ส่งมอบ คู่ความร่วมมือทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
  • การรวบรวมความรู้และถ่ายทอดความรู้ที่เป็นประโยชน์ไปใช้ใน การสร้างนวัตกรรมและในกระบวนการวางแผนเชิงกลยุทธ์

CoP (ชุมชนแห่งการเรียนรู้: Community of Practice)

หมายถึง ชุมชนนักปฏิบัติ หรือชุมชนแห่งการเรียนรู้ที่รวบรวมกลุ่มคนที่มีความรู้ ความสนใจในเรื่องเดียวกัน มาร่วมแลกเปลี่ยน แบ่งปัน เรียนรู้ในเรื่องนั้นๆ ร่วมกัน
ประเภทของ CoP

  • Helping Communities เพื่อแก้ไขปัญหาประจำวันและแลกเปลี่ยนแนวคิดในกลุ่มสมาชิก
  • Best Practice Communities เน้นการพัฒนา ตรวจสอบและเผยแพร่แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ
  • Knowledge-Stewarding Communities เพื่อจัดระเบียบ ยกระดับ และพัฒนาความรู้ที่สมาชิกใช้เป็นประจำ
  • Innovation Communities เพื่อพัฒนาแนวคิด โดยเน้นการข้ามขอบเขต เพื่อผสมผสานสมาชิกที่มุมมองต่างกัน

เครื่องมือต่าง ๆ ในการจัดการความรู้

  • การศึกษาดูงาน (Study tour)
  • การทบทวนหลังปฏิบัติการหรือการถอดบทเรียน (AAR)
  • การเรียนรู้ร่วมกันหลังงานสำเร็จ (Retrospect)
  • เรื่องเล่าเร้าพลัง (Springboard Storytelling)
  • การค้นหาสิ่งดีรอบตัว หรือสุนทรียสาธก
  • เวทีเสวนา หรือสุนทรียสนทนา (Dialogue)
  • เพื่อนช่วยเพื่อน (Peer Assist)
  • การเรียนรู้โดยการปฏิบัติ (Action Learning)
  • มาตรฐานเปรียบเทียบ (Benchmarking)
  • การสอนงาน (Coaching)
  • การเป็นพี่เลี้ยง (Mentoring)
  • ฟอรัม ถาม – ตอบ (Forum)
  • บทเรียนจากความผิดพลาด (Lesson Learning)
  • เวทีกลุ่มเฉพาะ (Focus Group)
  • การจัดเก็บความรู้ใน Web board, Intranet
  • R2R, การนำเสนอผลงานวิชาการในที่ประชุมวิชาการ
  • คู่มือการปฏิบัติงาน (Standard Operation Procedure: SOP)
  • การเล่าเรื่องพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น (Coffee meeting)

อ้างอิง

ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง

Share:

Share on facebook
Facebook
Share on twitter
Twitter
Share on pinterest
Pinterest
Share on linkedin
LinkedIn
On Key

Related Posts

6 จุดเด่น KM-CRM ช่วยเพิ่มยอด B2B อย่างมืออาชีพ

การบริหารจัดการลูกค้าและการติดตามการขายอย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจสำคัญของทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ ระบบ KM CRM เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณบริหารจัดการลูกค้าสัมพันธ์ได้อย่างมืออาชีพ ทำให้ทีมขายและฝ่ายบริการลูกค้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความซับซ้อนและเพิ่มยอดขายได้อย่างยั่งยืน ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปดูวิธีใช้ KM CRM อย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้คุณสามารถเพิ่มยอดขายและติดตามลูกค้าได้อย่างมืออาชีพ 1. บันทึกและจัดการข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบ KM CRM ช่วยให้คุณสามารถบันทึกข้อมูลลูกค้าได้อย่างครบถ้วนและเป็นระบบ ตั้งแต่ข้อมูลพื้นฐาน เช่น ชื่อ ที่อยู่ อีเมล และเบอร์โทรศัพท์ ไปจนถึงข้อมูลเฉพาะ เช่น

KM CRM กับ Google Sheets: เครื่องมือไหนเหมาะกับธุรกิจคุณ?

ในยุคดิจิทัลที่มีเครื่องมือหลากหลายช่วยให้การบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าและการขายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญ KM CRM และ Google Sheets เป็นสองเครื่องมือยอดนิยมที่ถูกใช้ในการจัดการข้อมูลลูกค้าและติดตามการขาย แต่ละตัวมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่ต่างกัน ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของธุรกิจได้แตกต่างกันไป ในบทความนี้ เราจะมาเปรียบเทียบทั้งสองเครื่องมือเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจว่าเครื่องมือไหนเหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ 1. ความสามารถในการจัดการข้อมูลลูกค้า สรุป: หากธุรกิจของคุณต้องการการจัดการข้อมูลลูกค้าแบบครบถ้วนและปลอดภัย KM CRM จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า แต่หากคุณมีข้อมูลเพียงเล็กน้อยและต้องการจัดการแบบง่ายๆ Google Sheets ก็อาจเพียงพอ 2. การติดตามโอกาสการขาย (Leads) สรุป: KM CRM มีระบบติดตาม Lead

ทันสมัยเปิดให้บริการซอฟต์แวร์ให้เช่ารายปี

ทันสมัยผู้ให้บริการเขียนโปรแกรมซอฟต์แวร์ให้เป็นไปตามความต้องการของลูกค้า ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก อาธิ เช่น โปรแกรม E-Learning, โปรแกรมบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า CRM, โปรแกรมจัดการความรู้ (KM), โปรแกรมจัดซื้อ Purchase โดยให้เช่าซอฟต์แวร์ในรูปแบบรายปี เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SME ให้เติบโตอย่างยั่งยืน

Knowledge Management

การจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM) หมายถึง การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคล หรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กร สามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถเชิงแข่งขันสูงสุด การจัดการความรู้ คือเครื่องมือเพื่อการบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 4 ประการไปพร้อม ๆ กัน ได้แก่ (1) การบรรลุเป้าหมายของงาน (2) การบรรลุเป้าหมายด้านการพัฒนาคน

ทำไมต้องใช้ Django

หลาย ๆ คนเมื่อเริ่มศึกษาภาษาไพธอนและกำลังต้องการต่อยอดและประยุกต์ใช้งาน หลังจากที่มีพื้นฐานไพธอนกันมาบ้างแล้ว และกำลังมองหาเฟรมเวิร์คดี ๆ ในงานด้าน web develoopment สักตัว ซึ่งไพธอนก็มีเว็บเฟรมเวิร์คยอดนิยมอยู่หลายตัว Popular Python web frameworks Django Flask FastAPI บทความนี้ขอนำเสนอ Django ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์คที่สาวกไพธอนคงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะว่าได้รับความยอดนิยมสูงที่สุดของไพธอนในการพัฒนาเว็บ วันนี้มาดูกันครับว่า มีเหตุผลอะไรบ้างทำไมเราถึงต้องเลือก Django มันมีดีอะไรหนักหนา !!